นายเนียม ประจันพล อายุ 87 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 71 หมู่ที่ 15 บ้านราชพฤกษ์ ต.เสาเภา อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช พบเทวรูปพระวิษณุที่โบราณสถานเขาคา บริเวณโบราณสถานหมายเลข 4 (ประมาณ 50 ปีมาแล้ว) และได้นำมาเก็บรักษาไว้ที่บ้านตน ต่อมาได้มอบให้สำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2558 และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ได้รับมอบเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2558 ปัจจุบันถูกจัดเก็บ ณ ห้องทะเบียน/ตู้เหล็ก/ชั้น 3 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช ครั้งที่ค้นพบพระวิษณุได้ฝันว่า “มีคนมาบอกให้ไปบนเขาคา และจะมีของอยู่ตรงนั้น” ในฝันมีคนมาบอกว่า “ให้ไปนำพระวิษณุมาไว้ เดินขึ้นไปจะอยู่บริเวณเชิงเขาหลังโรงเรียนวัดสวนศิขรบรรพต ให้รีบไปนำมามาไว้เดี๋ยวนานไปจะมีการทับถมของดิน ของจะหายไป” หลังตื่นเช้ามานายเนียม ประจันพลได้ไปตามคำที่คนในฝันบอก ปรากฎว่า เดินขึ้นไปบนเชิงเขาก็พบกับ พระวิษณุตั้งอยู่ตรงตามที่คนในฝันบอก มีคนเดินขึ้นไปมากมายแต่ไม่พบ เมื่อนายเนียม ปนะจันพลเดินขึ้นไปกลับพบ พบปี พ.ศ. 2537-2538 โดยประมาณ หลังโรงเรียนวัดสวนศิขรบรรพต บริเวณเชิงเขาด้านหลัง เนื่องจากบริเวณนั้นเคยมีดินสไลด์มาจากเนินหมาย 2 บนเขาคา ตอนพบครั้งแรกเข้าใจว่า สิ่งที่พบคือพระพุทธรูปเศียรขาดกำลังจะนำไปต่อให้สมบูรณ์ เนื่องจากความเชื่อโบราณไม่ให้นำพระเศียรขาดมาไว้ที่บ้าน แต่นายจำรัส เพชรทับทราบข่าวจึงได้ให้ข้อมูลว่า นี้ไม่ใช่พระพุทธรูปแต่คือพระวิษณุ อย่านำไปต่อ นายเนียม ประจันพลจึงนำมาเก็บไว้ที่บ้าน หลังจากนั้นสำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราชลงพื้นที่มาตรวจสอบและยืนยันว่านี้คือ พระวิษณุจริง อายุราวศตวรรษที่ 12-13 ประมาณ 1,400 ปี ต่อมานายเนียม ประจันพลได้ถวายแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ปัจจุบันถูกจัดเก็บที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ นครศรีธรรมราช
เจดีย์บ้านไสอิฐ เป็นเจดีย์ทรงระฆัง ส่วนฐานกว้าง 190 เซนติเมตร สูงประมาณ 160 เซนติเมตร ด้านเหนือและด้านตะวันตกยังคงสมบูรณ์กว่าด้านอื่น ส่วนด้านทิศใต้ถูกเจาะพังทลายจนถึงส่วนแกนกลางเจดีย์ บริเวณฐานเจดีย์ด้านเหนือ และด้านตะวันตกมีร่องรอยการก่อฐานประกบฐานเขียง หนาด้านละประมาณ 20 เซฯติเมตร และบนฐานเขียงด้านตะวันตกยังมีร่องรอยการก่ออิฐประกบเข้ากับองค์เจดีย์ เพื่อขยายขนาดขององค์เจดีย์ให่ใหญ๋ขึ้น แต่ร่องรอยที่มีอยู่ปรากฏเพียง 3 ชั้นอิฐเท่านั้น
"ลักษณะเฉพาะของ “ช้างแผ่นดุนทอง”
การดุน หมายถึง การทำให้แผ่นโลหะต่างๆ เช่น แผ่นเงิน แผ่นทอง ฯลฯ เป็นรูปรอยนูนขึ้นมา เรียกกรรมวิธีนี้ว่า ดุนลาย และอาจเรียกลวดลายที่ทำขึ้นนี้ว่า ลายดุน สำหรับวัตถุโบราณที่พบบนเขาคาชิ้นนี้ดุนด้วยแผ่นทองรูปช้างพลายเต็มตัว มีงา มีหางและกำลังเหลียวมอง สันนิษฐานว่าสร้างตอนกษัตริย์เสด็จเยือนในการลงเสาเอกของเทวาลัย กรมศิลปากรที่ 12 นครศรีธรรมราชได้เคยมาดูเช่นกันแต่คุณวิลาศไม่ได้มอบให้ ความเก่าแก่ของช้างแผ่นดุนทองคำชิ้นนี้มีอายุราว ศตวรรษที่ 13-14 ในยุคตามพรลิงค์
"
วัดนาแลไม่ทราบว่าสร้างปีใด หากดูตามหลักฐานของอิฐที่เหลืออยู่ จากความหนา กว้าง และยาวของอิฐบ่งบอกได้ว่า สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุทธยาตอนกลางแต่ร้างไปนาน ต่อมามีชาวบ้านไสตาโครตบวชเรียนมาจนมีความรู้แตกฉานได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ ชาวบ้านเรียกว่า “อุปปัชฌาย์สงค์ ท่านเห็นว่าเป็นวัดใกล้บ้านจึงหาพระมาไว้จำพรรษาที่นาแล (นั่งแล) ได้เพียง 2 รูป คือพระพร้อม สุธัมโม และพระเรื้อย จันทาโพ มาจำพรรษาในปี พ.ศ. 2431 จึงสร้างวัดขึ้น ฝังลูกนิมิตรที่โบสถ์เก่าปี พ.ศ. 2461 วัดจึงพอเจริญไปได้ กระทั่งพระเรื้อยและพระพร้อมจากไป พระอุปัชฌาย์สงค์จึงให้พระจีน ฆังคะสุวรรณโน จากวัดเขาน้อย ต. เขาน้อย (เดิมตำบลฉลอง) มาอยู่เป็นพระประจำในปี พ.ศ. 2443 วัดจึงเจริญขึ้นตามลำดับและพระภิกษุจีนเป็นที่เลื่อมใสศรัทธานับถือของชาวบ้านในทุกด้าน ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดนาแลตลอดมา ในปี พ.ศ. 2494 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระครูชั้นสัญบัตร ฉายา พระครูจินตามัยคุณ และมรณภาพในปี พ.ศ. 2497 (พระครูจินตามัยคุณได้เปลี่ยนชื่อวัดนาแลเป็นวัดสโสสรสันนิบาต) หลังจากพระครูจินตามัยคุณมรณภาพพระครูจินดามยคุณเป็นเจ้าอาวาสต่อ พ.ศ. 2514 พระครูจินดามายคุณลาออกจากเจ้าอาวาส กระทั่ง พ.ศ. 2515 พระครูอินทวัชรคุณ รับตำแหน่งเจ้าอาวาสต่อ วัดนาแลก่อนพ่อท่านสงจะเข้ามาพัฒนาเคยเป็นวัดร้างมาก่อน มีนาด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก แต่เดิมวัดนาแลชาวบ้านเรียกว่าแลนา เพราะพื้นที่วัดเป็นนา ส่วนคำว่าแลนามาจาก ณ สถานที่แห่งนี้มีเจดีย์โบราณ 1 องค์มีพระพุทธรูปบนเจดีย์ชาวบ้านจึงเชื่อว่า พระท่านกำลังนั่งแลนา ในกาลต่อมาเลยเพี้ยนกลายมาเป็นนาแล ต่อมามีผู้คนเข้ามาอยู่มากขึ้นจึงมีการทำนา ปลูกข้าวเป็นอาชีพหลักจึงอาจเป็นที่มาว่าชื่อบ้านนาแลที่เพี้ยนมาจากนั่งแล เดิมวัดนาแลเป็นที่เลี้ยงควายเพราะไม่มีประตูและรั้ววัด ลานวัดก็ไม่มีใช้ลานต้นพิกุนทำกิจกรรม พื้นที่ก็ต่ำเวลาฝนตกจะนั่งไม่ได้ หลังจากท่านพระครูอินทวัชรคุณเป็นเจ้าอาวาสจึงพัฒนาในหลาย ๆ อย่าง ท่านชอบเดินทางไปยังวัดต่าง ๆ ทั่วทั้งประเทศเพื่อดูว่า วัดอื่นเขาพัฒนากันอย่างไรแล้วจึงกลับมาพัฒนาวัดนาแลให้ดีขึ้นโดยร่วมกับนายบรรเจิดซึ่งเป็นพระเพื่อนที่บวชอยู่ในขณะนั่น (เจ้าของร้านขายกะปิเจ๊พา) พัฒนาวัด มีการปรับพื้นที่ถมทราย บูรณะโรงครัว สร้างโบสถ์ โรงธรรม อาคาร และเมรุใหม่ นอกจากนี้ยังรณรงค์เรื่องความสะอาดให้เกิดขึ้นในวัด เมื่อชาวบ้านเห็นจึงช่วยกันรักษาความสะอาดและเห็นความสำคัญของวัดนาแลมากขึ้น ต่อมาได้สร้างรั้วล้อมวัดเพื่อไม่ให้ควายเข้ามาในวัด และปิดประตูด้านทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ปิดทางทิศใต้ คงไว้แค่ประตูด้านทิศเหนือ เพราะท่านพระครูท่านหนึ่งที่วัดสุทัศน์ให้คำแนะนำว่า ควรปิดประตูทั้ง 3 ด้าน หากไม่ปิดวัดจะไม่เจริญ เพราะการมีประตู 3 ทางเหมือนวัดอกแตก และแบ่งระหว่างเขตของสงฆ์และเขตฆารวาสอย่างชัดเจน ครั้งหนึ่งพระครูอินทวัชรคุณได้แต่งบทประพันธ์เกี่ยวกับวัดนาแลไว้ว่า “วัดนาแลพระ วัดคงอร่ามด้วยประชาดีแล นาอยู่คงบุญญาถ่องแท้ แลลิ่วลิบลับตานาดูมากนา พระอยู่สงัดพำนักแท้แก่คู่....
พ่อท่านจีน พ่อท่านร่าน พ่อท่านเพชร(เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน) ได้สร้างโรงเรียน และทำคุณประโยชน์แก่ชุมชน สังคม บ้านเมืองมากมาย และพัฒนาวัด บำรุงโรงเรียน สอนศาสนาผู้คนอย่างต่อเนื่องจนเจริญรุ่งเรือง เป็นที่เคารพเลื่อมใสของผู้คนใกล้ใกล จนใน ปี 2558 ทางวัดได้นำอิฐโบราณมาแปรรูปทำเป็นเจดีย์ โดยประดิษฐานไว้ที่เดิม ที่เคยมีเจดีย์องค์เดิมอยู่ โดยภายในบรรจุ พระธาตุ และอัฐิธาตุของพ่อท่านสงค์ พ่อท่านจีน และ พ่อท่านร่านด้วย โดยอิฐทั้งหมดสมัยก่อนพ่อท่านจีนท่านได้รื้อซากเจดีย์และอิฐต่างๆมาสร้างเสนาสนะภายในวัดและเอาไปสร้างโรงเรียน ซึ่งในภายหลังเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาก็ได้นำกลับมาจากอาคารเก่าเกือบทั้งหมด
เจดีย์ที่พบมี 2 องค์ ทรงระฆังคว่ำ ขณะค้นพบเหลือแค่คอเจดีย์ มีพระพุทธรูปประดิษฐานบนยอดคอเจดีย์ สร้างด้วยแผ่นอิฐขนาดใหญ่ กว้างแผ่นละประมาณ 3.5 นิ้ว ยาวประมาณ 13.5 นิ้ว
ศิวลึงค์ ฐาน 4 เหลี่ยม และ 8 เหลี่ยม สภาพสมบูรณ์ แข็งแรง ขนาด (เซนติเมตร) ส. 36 สผ. 9 สร้างจากหินทราย